นิยามคำว่า “เพื่อน” ^____^ แม่ช็อคอยากเล่าเรื่อง “Penguin” ของ “Polly Dunbar” ให้ฟังค่ะ “Penguin” เป็นเรื่องราวของเด็กชายเบน วันหนึ่งเบนได้รับของขวัญเป็นนกเพนกวินหนึ่งตัว เขาดีใจมาก พยายามที่จะชักชวนนกเพนกวินพูดคุย ร้องเพลง เล่นเกม เต้นระบำ แต่นกเพนกวินก็นิ่งเฉย ไม่เคยตอบสนองใดๆ กับเบนเลย เบนลองเปลี่ยนวิธีเพื่อให้นกเพนกวินมีปฏิกริยาโต้ตอบ โดยการแกล้ง ล้อเลียน หรือยั่วโมโห และถึงแม้เบนจะจับนกเพนกวินติดจรวดส่งให้ไกลออกไปนอกโลก แต่สุดท้ายนกเพนกวินก็ยังคงกลับมาหาเบนอยู่ดี และเช่นเดิม นกเพนกวินก็ยังคงนิ่งเฉยต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่งมีสิงโตตัวใหญ่เดินผ่านมา เบนจับนกเพนกวินยื่นให้สิงโตกิน แต่สิงโตไม่สนใจนกเพนกวินเอาเสียเลย เบนผิดหวัง ไม่พอใจที่ทำอย่างไร เจ้านกเพนกวินก็ไม่ยอมแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา เบนหมดความอดทน โมโหมาก เขาตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง “พูดอะไรออกมาบ้างซี!!!” เสียงเบนดังมาก ดังจนเจ้าสิงโตหนวกหู อ้าปากงาบเบนเข้าปากในทันที ในขณะนั้นเอง จู่ๆ เจ้านกเพนกวินก็อ้าปากงับไปที่จมูกสิงโตอย่างแรง สิงโตเจ็บปวดจนต้องปล่อยเบนออกมา และเมื่อทั้งคู่ผ่านพ้นเหตุกาณณ์นั้นมาได้ เบนก็เข้าใจแล้วว่า นกเพนกวินก็เหมือนเพื่อนแท้ ถึงจะไม่เคยแสดงออกว่าคิดอย่างไรกับเบน แต่เมื่อเบนต้องเผชิญกับปัญหา นกเพนกวินก็พร้อมจะช่วยเหลือเบนเสมอ ---------------------- นิทานเรื่องนี้น่ารักค่ะ ภาพประกอบเล่าเรื่องด้วยตัวของเขาเอง เด็กๆ เข้าใจง่าย แม่ช็อคนึกถึงคำพูดของเจ้านายเก่าแม่ช็อคประโยคหนึ่งที่ว่า... “Don't judge a book by...
อย่าปฏิเสธว่าคุณไม่เคยโกรธ... อย่าอ้างว่าคุณไม่เคยแสดงอาการโมโหให้ลูกคุณเห็น... อย่าพูดว่า “ไม่รู้ว่าไปเอานิสัยก้าวร้าวอย่างนี้มาจากไหน”... ทุกอย่างมันเริ่มต้นที่เรา คนที่เลี้ยงพวกเขามานั่นแหละค่ะ วันนี้แม่ช็อคขอนำนิทานเรื่อง “Schreimutter” จากคำแนะนำของคุณครูกลม ผู้อำนวยการโรงเรียนจิตตเมตต์ มาเล่าให้พวกเราฟังกันค่ะ เรื่องราวของแม่และลูกนกเพนกวิน ที่อยู่ๆ วันหนึ่งแม่นกเพนกวินก็โมโห ตวาดลูกน้อยเสียงดัง เสียงของแม่นกเพนกวินดังมาก ดังจนทำให้ลูกน้อยตกใจ ดังจนทำให้ร่างกายของลูกนกเพนกวินหลุดกระจาย หายไปตามที่ต่างๆ ไกลแสนไกลจากกัน หัวไปทาง หางไปทาง ตัวไปทาง และปีกหายไปอีกทาง สุดท้ายเหลือแค่ขาเพียงสองข้าง ตอนนั้นลูกนกเพนกวินรู้สึกกลัว อยากจะร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ได้เพราะไม่มีปาก อยากมองเห็นทางข้างหน้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะไม่มีตา อยากบินหนีจากสถานการณ์ตรงหน้า เขาก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีปีก ลูกนกเพนกวินทำได้แค่วิ่ง วิ่งไปข้างหน้า วิ่งสุดแรงเท่าที่ขาทั้งสองข้างของเขาจะทำได้ จนหมดแรง และยืนนิ่งในที่สุด ไม่นานนักแม่นกเพนกวินก็เริ่มออกตามหาลูกน้อย แม่นกเพนกวินล่องเรือตามเก็บชิ้นส่วนลูกทีละส่วนๆ จนครบทั้งหมด พยายามเย็บต่อกัน ให้กลับมาเป็นลูกนกเพนกวินของตัวเองดังเดิม... และถึงแม้แม่นกเพนกวินจะเย็บร่างกายลูกน้อยกลับมาให้เหมือนเดิมได้ แต่บาดแผลจากรอยเย็บก็ไม่เคยจางหายไปจากหัวใจลูกนกเพนกวินอีกเลย... ------------------------------------------------- รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตเล็กๆ มั้ยค่ะ ลองถามตัวเองดูนะคะ ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนฝากบาดแผลนั้นไว้กับลูก... ใครกันที่ทำให้เขาดู จนเขาเข้าใจว่านี้คือสิ่งที่ถูกต้อง และยึดไว้เป็นต้นแบบในการกระทำของเขาเอง ตอนนี้ตอบตัวเองได้แล้ว รู้แล้วว่าความโกรธไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่โกรธแล้วต้องรู้ตัวให้เร็ว ควบคุมตัวให้ได้ ก่อนอะไรๆ มันจะสายเกินไป... ขอบคุณครูกลม ผู้อำนวยการโรงเรียนจิตตเมตต์อีกครั้ง ที่ส่งมอบนิทานดีๆ ให้พ่อแม่ได้ลองส่องกระจกดูตัวเองบ่อยๆ...
“แม่ ทำไมต้องมีกฎข้อห้ามมากมาย หนูไม่เข้าใจ” วันนี้แม่ช็อคมีนิทานมาเล่าให้ฟังค่ะ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองอันแสนสงบอยู่เมืองหนึ่ง เมืองนั้นถูกปกครองโดยพระราชาผู้ทรงธรรม พระราชาปกครองประชาชนด้วยความรัก และเมตตา ถึงประชาชนส่วนมากจะมีความสุข แต่ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจในการตั้งกฎข้อห้ามต่างๆ พวกเขาต่างเรียกร้องในอิสระภาพของตนเอง คนกลุ่มนี้จึงส่งชายหนุ่มเป็นตัวแทนไปพบกับพระราชา เพื่อเจรจาขอยกเลิกกฎระเบียบ พระราชาเข้าใจในความต้องการของพวกเขา จึงได้ยื่นข้อเสนอกลับไปเพียงหนึ่งข้อ “เรามีลิงอยู่ 1 ตัว ท่านจงเอาไปเลี้ยงที่บ้านของท่าน ห้ามผูกมัด ห้ามล่ามโซ่ ห้ามกักขัง และปล่อยในมันอยู่ในบ้านของท่านอย่างอิสระ หากท่านเลี้ยงลิงตัวนี้ได้ครบ 3 วัน เราจะยอมยกเลิกกฎระเบียบทั้งหมดในเมืองของเรา” ประชาชนผู้นั้นรับข้อเสนอของพระราชา หมายมั่นเป็นมั่นเหมาะว่า การเลี้ยงลิงตัวเล็กๆ แค่ 1 ตัว ง่ายนิดเดียว ตัวเขาต้องทำได้อย่างแน่นอน วันรุ่งขึ้น ภาระกิจการเลี้ยงลิงจึงเริ่มต้น ชายหนุ่มนำลิงมาเลี้ยงในบ้านตนตามข้อเสนอของพระราชา แต่ลิงตัวนี้มันซนเหลือเกิน มันปีนป่ายขึ้นบนหลังคา แล้วกระโดดลงมาบนโต๊ะเก้าอี้ ต่อด้วยกระโจนขึ้นเปิดตู้อาหาร และลื้อค้นสิ่งของกระจัดกระจายทั่วบ้านเต็มไปหมด เพียงแค่ครึ่งวัน ชายผู้นี้ก็ยอมแพ้ และนำลิงมาคืนพระราชาในที่สุด เขาบอกกับพระราชาว่า “ข้าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องตะโกนห้ามปรามเจ้าลิงไม่ให้ซุกซน แถมยังต้องเดินตามเก็บข้าวของที่พังเสียหาย กระจายระเกะระกะทั่วบ้าน” บัดนี้ ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมพระราชาถึงต้องตั้งกฎระเบียบมากมายในเมืองแห่งนี้ เพราะการมีกฎระเบียบแบบแผนทำให้ทุกคนรู้ว่าอะไรควรทำ หรืออะไรไม่ควรทำ เพราะจะมันเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำร้ายกัน และเมื่อทุกคนสามารถปฏิบัติได้ สังคมเราก็จะน่าอยู่ แล้วความสุขจะไปอยู่ไหนเสียล่ะค่ะ...
"เก้าอี้เชิญตามสบาย" เรื่องราวน่ารักๆ เริ่มต้นจากคุณกระต่ายที่คิดริเริ่มประกอบเก้าอี้ไม้ของตนเองขึ้นมา 1 ตัว เขานำเก้าอี้ของเขาเองไปวางไว้ข้างๆ ต้นไม้ พร้อมกับปักป้ายข้างๆ ว่า “เก้าอี้เชิญตามสบาย” จากนั้น คุณกระต่ายก็เดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ… ต่อมาไม่นาน แขกคนแรกของ ‘เก้าอี้เชิญตามสบาย’ ก็มาถึง คือคุณลาผู้เหนื่อยอ่อนจากการเดินทางนั่นเอง และเมื่อเจ้าลาสังเกตเห็นป้าย “เก้าอี้เชิญตามสบาย” ก็นึกแปลกใจในความใจดีของเก้าอี้ จึงตัดสินใจวางตะกร้าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยผลโอ๊คบนเก้าอี้ตัวนั้น ส่วนตัวเขาเอง ขอแอนหลัง ผิงแอบที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และ พล่อยหลับไปในที่สุด ไม่นานนักเจ้าหมีตัวใหญ่เดินถือโถน้ำผึ้งแสนหวานผ่านมาที่เก้าอี้เชิญตามสบาย ด้วยความหิวโหย จึงจัดการกินลูกโอ๊คจนหมด แต่ก่อนจะเดินจากไป เจ้าหมีก็นึกขึ้นได้ “หากเราทิ้งตะกร้าเปล่าๆ ไว้ ใครที่เดินผ่านมาทีหลัง คงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ เจ้าหมีนึกได้ดังนั้น จึงวางโถน้ำผึ้งของตนเองในตะกร้าแทน... แขกคนถัดไปคือ เจ้าหมาจิ้งจอกผู้ซึ่งเดินผ่านมาพร้อมกับขนมปังหอมๆ หวานๆ ในมือ พอเจ้าจิ้งจอกเห็นป้าย “เก้าอี้เชิญตามสบาย” เท่านั้นแหละ น้ำผึ้งในโถก็หมดไปในพริบตา แต่ก่อนที่เจ้าจิ้งจอกจะเดินจากไป เขาก็คิดขึ้นมาว่า หากเราทิ้งตะกร้าเปล่าๆ ไว้ คนที่เดินต่อมาก็คงจะเสียใจ เขาจึงวางขนมปังลงในตะกร้าแทน... ขนมปังในตะกร้าถูกวางอยู่บนเก้าอี้ใจดี รอการมาเยือนของแขกคนถัดไป... ไม่นานนักฝูงกระรอก 10 ตัวเดินผ่านมาที่เก้าอี้ไม้พร้อมกับลูกเกาลัดจำนวนมากมาย เมื่อพวกเขาเห็นขนมปังหอมๆ วางอยู่ข้างป้าย “เก้าอี้เชิญตามสบาย” จึงนึกดีใจ แบ่งขนมปังกันกินอย่างเอร็ดอร่อย... และเช่นเคย พวกกระรอกได้วางลูกเกาลัดมากมายไว้จนล้นตะกร้า...
“หัวผักกาดยักษ์” เรื่องราวของคุณตาคนหนึ่ง ปลูกต้นหัวผักกาดไว้อย่างตั้งใจ มุ่งหวังให้โตไวๆ อยากให้เป็นหัวผักกาดหวานๆ จนกระทั้งวันหนึ่ง หัวผักกาดเติบโตเป็นหัวผักกาดยักษ์ใหญ่มหึมาดังหวัง หัวผักกาดใหญ่มาก ใหญ่จนคุณตาไม่สามารถดึงหัวผักกาดออกมาได้เพียงลำพัง คุณตาจึงไปตามคุณยายมาช่วย แต่ยังไงๆ สองแรงแข็งขัน ก็ยังไม่พอ ยังไม่สามารถดึงหัวผักกาดออกมาได้ ยายจึงไปตามหลานมา หลานจึงไปตามหมามา หมาจึงไปตามแมวมา แมวจึงไปตามหนู ทุกคนช่วยกัน ส่งพลังอย่างเต็มที่ จนในที่สุด หัวผักกาดยักษ์ก็หลุดออกมาได้ ลูกจ๋า จำไว้นะลูก ถึงแม้ว่าเราจะมีอุปนิสัยแตกต่างกันแค่ไหน ขอแค่เรามีความพยายาม ความสามัคคีกัน มองจุดมุ่งหมายไปในทางเดียวกัน อะไรที่ว่ายาก มันก็จะไม่ยากอีกต่อไป โดยส่วนตัว ชอบนิทานเรื่องนี้มากๆ เป็นพิเศษค่ะ อ่านให้ลูกฟังตั้งแต่ลูกยังพูดไม่ได้ วิธีการอ่านโดยใส่น้ำเสียงเป็นเมโลดี้ ตอน “ฮุยเลฮุย เอ้า ฮุยเลฮุย ฮึบ...” แต่ปัจจุบัน กลายเป็นเอามาใช้ในชีวิตจริง เล่นเป็นบทบาทสมมุติก่อนนอน สนุกมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณนิทานน่ารักๆ เรื่อง “หัวผักกาดยักษ์” เรื่องโดย อเล็กเซ ตอลสตอย ภาพโดย ชูเรียว ซาโต้ ...
“ชุดสวย จากปุยเมฆ” เรื่องราวของเด็กผู้ชายผู้มีสามารถพิเศษ เขาสามารถปั่นเส้นด้ายจากปุยเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ เด็กชายใช้เส้นด้ายเหล่านั้นมาทักทอเป็นเสื้อผ้า ผ้าพันคอ หรือหมวก ไว้ใช้งาน ตามแต่ความจำเป็นของเขาเอง ดังที่แม่ของเขาสอนให้พอเพียงเสมอมา วันหนึ่งเด็กชายเดินลงจากเขาเข้าไปในตลาด ได้เจอขบวนทหารของพระราชากำลังเสด็จมา ทันใดนั้น พระราชาสังเกตเห็นผ้าพันคออันดูนุ่มอุ่นสบาย สีสันแสนสวยงามบนคอของเด็กชาย ก็บังคับให้เด็กชายทำให้ตนบ้าง แต่ขอให้ยาวที่สุด สวยที่สุด ไม่ว่าเด็กชายจะคัดค้าน ห้ามปรามว่า ผ้าพันคอที่ยาวเกินไป เป็นสิ่งเกินความจำเป็น แต่พระราชาก็ไม่ฟังเสียงทัดทานนั้นเลย เด็กชายจำใจต้องกลับขึ้นไปบนยอดเขานั่งทอด้ายจากปุยเมฆ แล้วทักทอเป็นผ้าพันคอผืนยาวดังที่พระราชาต้องการ เมื่อพระราชาได้รับ กลับรู้สึกว่ายังไม่พอ ละโมบ โลภมาก บังคับให้เด็กชายทักทอผ้าคลุม ชุดกระโปรงให้พระราชินีและเจ้าหญิง ลูกสาวของเขาอีก เด็กชายให้เวลาหลายวัน หลายคืน ในการทำชุดให้พระราชาและครอบครัว เขาใช้เมฆมากเหลือเกิน มากจนแทบไม่เหลือเมฆบนท้องฟ้าอีกต่อไป เดือดร้อนถึงชาวบ้านที่เริ่มได้รับผลกระทบจากความแห้งแรง เมื่อไม่มีเมฆ ก็ไม่มีฝน เมื่อไม่มีฝน ก็ไม่มีน้ำสำหรับการเป็นอยู่ของชาวบ้าน แต่แล้วคืนนั้นเอง เจ้าหญิงตัวน้อยได้ย่องแอบเอาชุดสวยจากปุยเมฆทั้งหมดกลับไปคืนให้เด็กชาย เด็กชายรับเสื้อผ้ามา แล้วจัดการทยอยแบ่งเสื้อผ้าเหล่านั้นให้กลับกลายเป็นเมฆ ลอยกลับไปบนท้องฟ้าเหมือนเดิม เมือเมฆกลับมาประจำหน้าที่บนฟ้ากว้าง ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล พืชผัก ไร่สวน สัตว์เลี้ยง ต่างยินดี ปรีดาขึ้นมาอีกครั้ง ^____________^ “ชุดสวย จากปุยเมฆ” หนังสือดีที่เด็กๆ ควรอ่าน ผู้ใหญ่ควรไตร่ตรอง ครองชีวิตให้อยู่ในความพอเพียง และเพียงพอ ดังเช่น...
คุณแม่นักซักผ้า เรื่องราวของคุณแม่ที่ชื่นชอบการซักผ้าเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากเสื้อผ้าแล้ว คุณแม่ยังซักได้ทุกอย่างแม้กระทั่งลูกๆ และสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน เช้าวันหนึ่ง เมื่อคุณแม่ซักผ้าและสิ่งของเสร็จ คุณแม่นำทุกอย่างที่ซักมาตากไว้กลางแจ้ง หนีบไว้กับราวเชือก เส้นสายโยงใย พันพัวกันเต็มสนามหญ้า คล้ายกับใยแมงมุมกันเลยทีเดียว เมื่อนั้น เทพเจ้าสายฟ้าตัวจิ๋ว ขี่ก้อนเมฆผ่านมา เขาเห็นเด็กๆไม่ใส่เสื้อผ้า กำลังโดนหนีบตากอยู่กับราวตากผ้า ก็นึกอยากกินสะดือเด็ก จึงรีบบึ่งขี่ก้อนเมฆลงไป หมายจะกินสะดือเด็กๆ ให้อร่อยไปเลย แต่แล้ว เมื่อเทพเจ้าสายฟ้าลงมาถึงราวตากผ้า แขนขา ร่างกายของเขากลับติดพันกับราวตากผ้าจนเขาขยับตัวไม่ได้ เทพเจ้าสายฟ้าหงุดหงิด บอกกับคุณแม่อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ว่า สาเหตุที่เขาลงมาที่นี้ เป็นเพราะเขาต้องการจะกินสะดือเด็กที่โดนตากอยู่นั้นเอง คุณแม่ไม่พอใจในคำตอบอันอวดดีเยี่ยงนั้น จึงนำตัวเทพเจ้าสายฟ้าโยนลงกะละมังซักผ้าในทันที ขย้ำๆ ขยี้ๆ จนเทพเจ้าสายฟ้าสะอาดเอี่ยม แต่กลายเป็นว่า ตัวเทพเจ้าสายฟ้านั้นยับยู่ยี่ ดวงตา จมูก และปากหายไปพร้อมกับสิ่งสกปรก ใบหน้าของเทพเจ้าสายฟ้าว่างเปล่า เด็กๆ จึงช่วยกันวาดรูป หน้าตา ของเทพเจ้าสายฟ้าลงไปใหม่ ใส่รอยยิ้ม วาดดวงตาเป็นประกาย ระบายสีแดงเรื่อๆบนแก้ม เทพเจ้าสายฟ้าส่องกระจกมองตนเอง พอใจในหน้าตาใหม่ที่เด็กๆ วาดให้ ยิ้มกริ่ม มีความสุข และรีบขี่เมฆจากไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันต่อมา ในขณะที่คุณแม่กำลังซักผ้า เมฆฝนก็เคลื่อนตัวกลับมาอีกครั้ง เสียงสายฟ้าฟาดดัง เปรี้ยงปร้าง ดึงความสนใจของคุณแม่ให้เงยหน้าขึ้น และแล้วคุณแม่ก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบว่า เทพเจ้าสายฟ้าหลายคน ล่วงหล่นมาอยู่เบื้องหน้าคุณแม่...
“the dot” นิทานเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงวาชติ ผู้ซึ่งคิดเสมอว่า ตัวเธอเองวาดรูปไม่เป็น ทำงานศิลปะไม่ได้ วันหนึ่ง หลังจบชั่วโมงศิลปะ วาชตินั่งหน้าเศร้าอยู่หน้ากระดาษเปล่าๆ บนโต๊ะ คุณครูสังเกตเห็น เลยแนะนำให้วาชติ ขีดเขียนอะไรก็ได้บนกระดาษใบนั้น เธอจึงคว้าปากกามาจรดลงบนกระดาษ กลายเป็นแค่ ‘จุด’ เล็กๆ ในพื้นที่สี่เหลี่ยมสีขาว คุณครูจ้องมองแผ่นกระดาษที่มีเพียงจุดเล็กๆ เพียงจุดเดียวด้วยท่าทางสนใจ จากนั้นจึงยื่นกระดาษใบนั้นให้วาชติเซ็นต์ชื่อด้านล่าง สัปดาห์ต่อมา ในขณะที่วาชติกำลังเดินผ่านทางเดินเพื่อไปห้องเรียนศิลปะ เธอสังเกตเห็นผลงานตัวเอง ติดอยู่บนผนัง ผลงาน ‘จุด’ ของเธอถูกใส่กรอบลวดลายสวยงาม สีทองของกรอบรูปสะดุดตาผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างเด่นชัด วาชติภูมิใจในผลงานของตัวเอง และคิดว่า เธอน่าจะทำงานศิลปะ ‘จุด’ ของเธอได้ดีกว่านี้อีก วาชติริเริ่มสร้างสรรค์ทำผลงานชิ้นใหม่ๆ ขึ้นอีกหลากหลายงาน เธอสนุกจากการวาดจุดเล็กๆ ไปสู่จุดใหญ่ๆ บางทีทำจุดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง คละกันไป บางครั้งก็แต่งเติมสีสันให้จุดดูน่าสนใจสวยงามมากขึ้น ไม่นานนัก ห้องแสดงผลงานศิลปะ ก็เต็มไปด้วยผลงาน‘จุด’ของวาชติ ผู้คนต่างให้ความสนใจ และชื่มชนในความสามารถของเธอ และในงานแสดงภาพวาดวันนั้นเอง วาชติสังเกตเห็นเด็กชายคนหนึ่งมองมาที่เธออย่างตั้งใจ เด็กชายพูดกับวาชติว่า เขาใฝ่ฝันอยากวาดรูปได้เก่งเหมือนเธอ วาชติยิ้ม แล้วเธอก็รู้ว่า เธอควรจะแนะนำอย่างไรกับเด็กผู้ชายคนนี้ ดังเช่นกับที่เธอเคยได้รับจากคุณครูของเธอเอง ^_________^ --------------------------------------------- นิทานน่ารัก ตัวหนังสือน้อย แต่ความหมายมีเพียบเลยค่ะ สุดท้าย วาชติก็เข้าใจแล้วว่า ถ้าเธอสามารถเริ่มต้นทำจุดเล็กๆ...