“ลูกเป็นคนพิเศษนะ” เรื่องราวของเด็กชายไมโล ผู้ซึ่งขาดความมั่นใจในตัวเอง เหตุเพราะในทุกๆ ครั้งที่เขาเอ่ยปากขอเพื่อนๆ เล่นบทบาทสมมติเป็นตัวเด่นในเนื้อเรื่อง... เพื่อนๆ ก็จะค่อยคัดค้าน ไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลต่างๆ นานา ว่าเขาผอมไปบ้างละ เตี้ยไปบ้างละ ไม่หล่อบ้างละ ทำให้ไมโลเกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง และต้องยอมเล่นเป็นบทบาทที่ตัวเองไม่เห็นคุณค่าในที่สุด... ทุกครั้งที่ไมโลกลับมาบ้าน แม่จะสังเกตเห็นถึงความห่อเหี่ยวในใจของเด็กน้อย แม่ค่อยๆ เปลี่ยนความคิด เปิดมุมมองใหม่ในทางบวกให้ไมโล ได้เห็นว่า ทุกๆ บทบาท ย่อมมีความสำคัญของตัวเอง มีคุณค่า มีประโยชน์ ไม่ว่าจะต้องเล่นเป็นตัวอะไรก็ตาม ขอแค่เป็นตัวของตัวเอง เชื่อมั่น นับถือตัวเอง ก็เพียงพอแล้ว... นิทานเรื่องนี้แอบเตือนพวกเราว่า ใครกัน ที่มีอิทธิพลทางความคิดกับลูกตัวเล็กๆ ในบ้าน ถ้าไม่ใช่ คนเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นคนเลี้ยงดู ที่อยู่ใกล้ชิดกับพวกเขา... เพราะเราห้ามคนรอบข้างไม่ให้ทำร้ายลูกเราไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างเกราะป้องกันให้พวกเขาได้ค่ะ ให้กำลังใจ โอบกอดหัวใจดวงเล็กๆ ในยามที่เขาต้องการความเชื่อมั่นจากใครสักคน... บอกเขาอีกนิด ช่วยเขาอีกหน่อย บอกเขาว่า เขาเก่งแค่ไหน ช่วยดึงจุดเด่นในตัวตนออกมาให้ได้ แค่นี้ “พวกเขาก็จะเป็นอะไรก็ได้ ที่พวกเขาอยากจะเป็น” โดยเฉพาะ “เป็นคนพิเศษ” ของพวกเราแล้วค่ะ ^___^...
“กระต่าย กับ พระจันทร์” พระจันทร์เจ้าเอ่ย แต่ก่อนแต่ไร เจ้าเคยงดงามในสายตาใครๆ แต่มาวันนี้ เจ้าหลบหน้าหายไป เพียงเพราะเสียใจ ที่ทุกคนหันไปชื่นชมเจ้าฝนดาวตกซะนี้... ไม่มีอีกแล้ว แสงจันทร์เจ้าขา... เจ้าจะรู้หรือไม่ ว่าชาวบ้านเดือดร้อนเพราะไร้แสงสว่างของเจ้าในยามค่ำคืนแค่ไหน... กระต่ายน้อยอาสาตามหาพระจันทร์ เพื่อวิงวอนขอแสงจันทร์กลับมาให้คนหมู่มากได้ใช้ประโยชน์... ในระหว่างทาง กระต่ายน้อยพบแสงเล็กๆ มากมายจากหนอนเรืองแสง จากฝูงหิ่งห้อย จากกลุ่มดวงดาวบนท้องฟ้า... แต่ทว่าแสงเหล่านี้ ก็ยังไม่เพียงพอต่อคนอื่นๆ อยู่ดี... กระต่ายน้อยเดินทางมาไกลเหลือเกิน เหนื่อยจนแทบหมดหวัง แต่เขาก็ไม่หยุด จนในที่สุด เขาก็ได้เจอพระจันทร์... พระจันทร์ชื่นชมต่อความดี ความพยายาม และการเสียสละตนเองเพื่อคนส่วนรวมของกระต่ายน้อย จึงยอมตกลงกลับไปส่องแสงสว่างให้ชาวบ้านอีกครั้งหนึ่ง... ลูกจ๋า จงหมั่นเพียรในการทำความดีไว้เถิด เสมือนกระต่ายน้อย ถึงจะตัวเล็ก แต่มีความพยายาม จิตใจมุ่งมั่น สรรค์สร้างประโยชน์ให้คนส่วนรวม ผลของมันจึงได้งดงาม ส่องสว่าง กระจ่างดังแสงจันทร์ไงลูก... Credit “กระต่าย กับ พระจันทร์” ได้รับรางวัล หนังสือดีเด่นประจำปี 2559 จากสำนักคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นริศ สุขมาก คำ สุดไผท เมืองไทย ภาพ ปรีดา ปัญญาจันทร์ #นิทานดีๆมีไว้สอนลูก...
“บ้านนี้ มีเด็กขี้โมโห” มะตูมน้อยขี้โมโห เธอโมโหได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เดือดร้อนถึงคนในครอบครัวที่ต้องช่วยกันหา “สิ่งของแสนกล ที่ซ่อนความลับบางอย่าง” ทั้งพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย น้องชาย ก็ต่างอลม่าน หาสิ่งของรอบๆ ตัว มาทำให้มะตูมรู้ตัวสักที ว่าเวลาที่เธอโมโห คนรอบข้างจะเห็นใบหน้าเธอเป็นอย่างไร และที่สำคัญ ในสิ่งของทุกๆ ชิ้น จะเผยความลับ กลับกลายเป็นรอยยิ้ม ทำให้มะตูมรู้สึกตัวได้ค่ะ ^___^ สุดท้ายเด็กหญิงมะตูม ก็ค้นพบคาถาวิเศษ ไว้จัดการกับอารมณ์โกรธของตัวเอง “โอม หน้าบิ้ง หน้าบูด หัวปูด หัวโน เด็กขี้โมโห จงหายไป!” ถ้าเด็กๆ บ้านไหน จะเอาไปใช้บ้าง ช็อคว่า น้องมะตูมคงยินดีมากมายเลยค่ะ อารมณ์ โมโห โกรธ เป็นเรื่องปกติ ใครๆ ก็โกรธ โมโหได้ แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราจะสามารถรู้ตัว และควบคุมอารมณ์ตัวเองด้วยวิธีไหน ให้เร็วที่สุด ... โมโหไม่ผิด แต่ถ้าจิตตก จนทำคนรอบข้างเดือดร้อน ไม่ดีแน่ค่ะ เด็กๆ ^_____^ Credit “บ้านนี้...
“มีใครอยู่มั้ย” เรื่องราวของชายคนหาฟืน ที่บังเอิญไปเจอต้นไม้ใหญ่ เขาคิดว่า หากเขาตัดต้นไม้ใหญ่นี้ ไปขาย เขาต้องได้เงินก้อนโตแน่ๆ ในขณะที่ชายตัดฟืนกำลังจะฟันขวานลงดาบอยู่นั้น ผลไม้ลูกเล็กๆ ก็ตกลงมาที่หัวของเขา... คนหาฟืนสงสัย เอ๊ะใจ ว่าต้องมีใครบางคน หรือสัตว์บางตัว อาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นนี้ เขาค่อยๆ มองขึ้นไปบนต้นไม้ พร้อมตะโกนถาม “มีใครอยู่มั้ย!” คำตอบ ค่อยๆ ทยอยเผยออกมา ไม่ว่าจะเป็นแมลงมุมที่กำลังชักใย แม่นกที่กำลังกกไข่ ผีเสื้อที่กำลังผสมเกสรดอกไม้ นกฮูกที่ใช้ต้นไม้เป็นบ้าน กระรอก ที่กำลังเด็ดผลไม้กิน คำตอบของคำถาม ช่างชัดเจน จนชายตัดฝืนเปลี่ยนใจ ไม่ตัดต้นไม้ และเลือกที่จะเก็บผลไม้ที่ตกลงมาที่พื้นกลับบ้านอย่างสุขใจ ในที่สุด ชายตัดฝืนก็ได้ตระหนักแล้วว่า ต้นไม้ต้นนี้ เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ ที่รวมแหล่งอาหาร ที่พักพิงของสัตว์อีกหลากหลายตัว และคงจะเห็นแก่ตัวเกินไป ถ้าเขาเพียงคิดจะตัด “บ้าน” สิ่งจำเป็นของใครหลายคน เพื่อความสุขของตนเพียงผู้เดียว Credit “มีใครอยู่มั้ย” รางวัลยอดเยี่ยม จากนายอินทร์ อะวอร์ด ปี 2558 เรื่องและภาพ ปิยา วัชระสวัสดิ์ ...
“เมล็ดพันธุ์แห่งความดี” เรื่องราวของชายชราที่ฟูมฟักเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงใด ชายชราก็ไม่ย่อท้อ ตั้งใจ ปกป้อง เอาใจใส่ ดูแลจนเมล็ดพันธุ์เติบโตขึ้นมาเป็นต้นอ่อน เมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่งอกเงยกำลังพร้อมที่จะลงดิน เจ้าลมก็ดันมาพลัดพรากเมล็ดพันธุ์จากชายชราไป เมล็ดน้อยตกไปอาศัยในซอกพื้นในเมืองใหญ่ เติบโตขึ้นทีละนิด ทีละน้อย พอดี และพอเพียง จนเป็นต้นไม้ที่มีคุณค่า สมกับที่ชายชราฟูมฟักมาตั้งแต่แรกเริ่ม ประโยชน์ของต้นไม้สามารถช่วยรักษาคนป่วยได้ มีคนเห็นค่าของมัน นำพาเมล็ดพันธุ์ไปกระจายปลูกในที่ต่างๆ ไม่นานนัก เมล็ดพันธุ์เล็กๆ เมล็ดหนึ่งก็ขยายอาณาเขตเพิ่มเติม สร้างประโยชน์ให้คนต่างๆ อีกมากมาย สมกับความตั้งใจของชายชรา ^____^ ไม่รู้ว่าทำไม หนังสือนิทานเล่มนี้ ถึงทำให้เราอ่านไป ร้องไห้ไป คงเป็นเพราะ เรานึกถึง “ในหลวง” พ่อหลวงของแผ่นดิน... ท่านทรงเหนื่อยเพื่อลูกๆ ของท่านมามากมายเหลือเกิน... ถ้าเปรียบเราเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งในเรื่อง เราคงเป็นเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่ท่านตั้งใจปลูกไว้... เราสัญญาได้เลยว่า เราจะตั้งใจทำความดีต่อไป ให้สมกับความตั้งใจของพ่อ ... “หนูรักในหลวงค่ะ”... และสัญญาต่ออีกว่า เมล็ดพันธุ์รุ่นต่อไปในมือลูกคนนี้ ก็จะเติบโตต้นไม้ใหญ่ที่มีคุณค่าให้คนอื่น ต่อไป ... การทำความดี อาจจะยาก อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่ทำเถอะ เพราะผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่ายิ่งนัก... Credit “เมล็ดพันธุ์แห่งความดี” เรื่อง ภาคภูมิ ศิริอาชาวัฒนา รูป ชนัญญา กิจเจริญชัย...